วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เราสู้ สู้ตรงนี้ สู้ที่นี่








หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เราสู้ สู้ตรงนี้ สู้ที่นี่ ***

การปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของหลวงปู่แหวน ***

หลวง พ่อฤาษีลิงดำ ได้เล่าถึงการปลุกเสกพระ ที่ลูกศิษย์ลูกหาต่างถอดสร้อย และรวมพระเครื่องต่างๆ รอให้ ลป. ปลุกเสกให้ดังนี้ :-

"พอ ใครขนเอาเครื่องรางไปวางเสร็จ หลวงปู่แหวนก็ตั้งท่าสงบใจสงเคราะห์ อาตมาก็จับดูจิตของหลวงปุ่แหวน ดูอารมณ์จิตของท่านว่า จะทำยังไง ครั้นแล้ว ก็เห็นอารมณ์จิตของหลวงปู่แหวนผ่องใสเป็นดาวประกายพฤษ์เต็มดวง ลอยอยู่ในอกท่าน เวลานั้นกำลังจิตของหลวงปุ่แหวน ก็คิดว่า ขออารธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ให้มาโปรดช่วยทำของเหล่านี้ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญมงคล ของบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้เข้าถึงพระธรรม
โดยความจริง หลวงปุ่แหวน ไม่คิดว่าเสกให้เอาไปตีกับชาวบ้าน เอาไปปล้นชาวบ้าน ท่านเสกให้คนเข้าถึงธรรม

ท่าน นึกในใจต่อไป หลวงปู่แหวนก็อาราธนาบารมีของพระอรหันต์ทั้งหมด บารมีของพรหม ของเทวดาทั้งหมด ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ พอถึงพะอรหันต์ อาตมาก็เห็นหลวงปู่ตื้อ ปรี๊ดมาถึงข้างหลัง เอากำปั้นลงหลังอาตมาปั๊ปเข้าให้

แล้วถามว่า เฮ้ย ... *********มานั่งอยู่ทำไมวะ

อาตมาก็เลยบอกไปว่านี่ ... พระผี ไม่ต้องพูด

(ลป.ตื้อ) หลวงปู่แหวน เชิญพระผีนะ ไม่ได้เชิญพระมีเนื้อหนังมังสา มีหน้าที่อะไรก็ทำไป
แล้ว ก็ได้เห็นกระแสจิตหลวงปู่แหวน เป็นประกายพฤกษ์ พุ่งออมาจากอกสว่างเจิดจ้า ใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด แสงสว่างประกายพฤกษ์ของจิตพระอรหันต์เจ้า แทรกลงไปในเครื่องรางของขลัง อยู่ผิวด้านหน้ายันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมดอาบลงไปหมด เลย โพลงสว่างสุกปลั่งไปหมด คล้ายตกอยู่ในเบ้าหลอม เป็นกระแสสว่างของจิตที่เยือกเย็น เต็มไปด้วยอำนาจพุทธบารมี เห็นแล้วรู้สึกเยือกเย็นสบายอย่างประหลาด บอกไม่ถูก

นี่ เป็นการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของหลวงปุ่แหวน ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง ๓ นาที แต่ทว่า อานุภาพยิ่งใหญ่ ทรงความขลังศักดิ์สิทธิ์ เลิศล้ำน่ามหัศจรรย์

วัตถุมงคลที่ดังที่สุด ของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่***
คือ เหรียญ เราสู้ เนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่สงบกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้นทางด้านชายแดนประเทศไทย กับประเทศกัมพูชา ในปี ๒๕๒๐ มีทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เป็นจำนวนมากไปขอพึ่งอาศัยบารมีหลวงปู่ อยากได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากหลวงปู่ไว้คุ้มครองป้องกันตัวและเป็นสิริมงคล ทางวัดดอยแม่ปั๋งขาดปัจจัยทั้งพ้นวิสัยที่จะจัดให้ทั่วถึงได้ พระอาจารย์หนู สุจิตโต เจ้าอาวาสและนายกสมาคมสัมพันธวงศ์สมัยนั้น ร่วมกับวัดสัมพันธวงศ์ตกลงอนุญาตหลวงปู่สร้างเหรียญรูปเหมือนหลวงปู่ขึ้น จำนวนหนึ่งเพื่อแจกจ่ายแก่ทหาร ตำรวจ และพ่อค้าประชาชน โดยอ้างเหตุผลและความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศชาติบ้านเมือง หลวงปู่ไม่ขัดข้องยินดีอนุญาตให้ดำเนินการได้ คณะกรรมการได้มอบให้เป็นภาระของพระครูวิบูลศีลวงศ์ เป็นผู้ออกแบบจัดสร้างเหรียญ และให้พระครูปลัดเมธาวัฒน์ ควบคุมการจัดพิมพ์ มอบให้อาจารย์ปลั่ง ชื่นกลิ่นธูปเป็นเจ้าพิธีการเชิญพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผู้ศรัทธาในหลวงปู่แหวน เป็นประธานฝ่ายฆราวาสประกอบพิธีแผ่เมตตาเหรียญแบบเราสู้ กระทำพิธีแผ่เมตตาอธิฐานจิตที่วิหารวัดดอยแม่ปั๋ง วันศุกร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๐เมื่อได้เวลา ๒๐.๐๐ น. นิมนต์เจ้าพระคุณหลวงปู่แหวน มายังวิหาร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เป็นประทานจุดเทียนชัย พระสงฆ์ ๒๑ รูป เจริญพระพุทธมนต์ เวลา ๒๑.๔๐น. เจ้าหน้าที่พิธีสงฆ์ได้อาราธนาพระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ขึ้นนั่งบนธรรมมาสน์เพื่อประกอบพิธีแผ่พลังจิตอธิฐานภาวนา เป็นเวลา ๑๒ นาที ในขณะนั้นพระสงฆ์ทั้งปวงได้นั่งสมาธิภาวนาส่งกระแสจิตอธิฐานร่วมในการประกอบ พิธีครั้งนี้ด้วย เสร็จแล้ว หลวงปู่ออกจากสมาธินั่งปรกแล้ว ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่เหรียญ เราสู้ วัตถุมงคล มีนักข่าว หนังสือพิมพ์ที่เชิญไปร่วมพิธี ได้รับแจกไปทั้งเหรียญและรูปเหมือนหลวงปู่ ขณะนั้นกำลังมีการปะทะต่อสู้กัน ทางชายแดนด้านอรัญประเทศ ปราจีนบุรี นักข่าวและทหารที่ได้รับเหรียญเราสู้ไปเวลานั้น ได้ต่อสู้ผจญภัยในสนามรบอย่างโชกโชนตลอดคืน และปลอดภัยรอดตายมาได้ทุกคน เพราะมีเหรียญเราสู้ประจำตัวอยู่ทุกคน จึงทำให้เหรียญเราสู้โด่งดังไปทั่วทุกหนทุกแห่งมีประชาชนทุกเพศ ทุกวัย อยากได้ พากันหลั่งไหลมาขอที่วัดสัมพันธวงศ์บ้าง ที่วัดดอยแม่ปั๋งบ้าง จนเหรียญไม่พอแจกให้แก่ผู้ต้องการอยากได้ จำนวนเหรียญเราสู้ที่สร้าง เนื้อโลหะรมดำ ๒๐๐,๐๐๐ เหรียญ เนื้อทองคำ ๑๐๑ เหรียญ เนื้อเงิน ๑๙๐ เหรียญ วัตถุประสงค์ในการสร้างเหรียญ เราสู้ ๑.เพื่อแจกจ่ายแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ พลเรือน และที่ปฎิบัติหน้าที่ตามชายแดนทุกแห่ง ๒.เพื่อให้คนในชาติไทย ได้สมัครสมานสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ๓.เพื่อเป็นวัตถุที่ระลึกไว้สักการบูชายึดเหนี่ยวน้ำใจคนในชาติ ให้คงความเป็นเอกราช รักษาชาติไทยไว้ ๔.เพื่อเป็นเครื่องดลจิตดลใจให้ผู้มีเหรียญนี้ ตื่นอยู่ทุกขณะ ให้สมกับคำว่า เราสู้ สู้ตรงนี้ สู้ที่นี่ ทุกข้อความอ้างอิงจาก หนังสือ สุจิณโณ อนุสรณ์ จัดทำโดย มูลนิธิ สุจิณโณ อนุสรณ์ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๐

พระ มหากรุณาธิคุณ***
นับ แต่โบราณกาลมาจนถึงยุคปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ยังไม่มีพระคณาจารย์รูปใดที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ เท่าหลวงปู่แหวน ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

นอกเหนือจากการเสด็จพระราชดำเนินถึง วัดดอยแม่ปั๋ง เพื่อนมัสการและสนทนาธรรม กับหลวงปู่หลายครั้งหลายครา แล้วยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จัดสร้างสิ่งมงคล โดยใข้รูปของหลวงปู่ นำมาแจกในพระราชพิธีสำคัญ

หลวงปู่แหวน จึงเป็นพระสงฆ์องค์แรกในประเทศไทย ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงส่ง และนอกจากล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์แล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ได้ทรงพระกรุณา เสด็จเยี่ยมหลวงปู่อยู่เนืองๆ

ข้า ราชบริพารผู้หนึ่ง ได้เปิดเผยถึงหลวงปู่กับล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ภายหลังจากที่ข่าวพระองค์ทรงประชวรและประทับที่เชียงใหม่แล้ว หลังจากนั้น ก็เสด็จดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่แหวนได้กราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งว่า

" พระองค์นั้นมัวแต่ห่วงคนอื่น ไม่ห่วงพระองค์เองเลย"

เมื่อได้ฟัง หลวงปู่กล่าวเช่นนั้น ล้นเกล้าฯ ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย

มีข่าว อีกครั้งหนึ่งว่า สมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรและประทับรักษาพระองค์ที่เชียงใหม่นั้น ข้าราชบริพาร ได้นำเฮลิคอบเตอร์มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปที่พระตำหนักเพื่อแผ่พลังจิต ช่วยรักษาอาการประชวรของพระองค์ท่าน

หลวงปู่ท่านปฎิเสธการนิมนต์ และได้บอกว่า “อยู่ที่ไหน ฮาก็ส่งใจไปถึงพระองค์ได้ ก็ส่งไป ทุกวันอยู่แล้ว”

หลวง ปู่แหวน ท่านตั้งสัจจธิษฐานว่า แม้ท่านจะเจ็บป่วยก็ไม่ยอมไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่ในช่วงท้ายของชีวิต เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาราธนา ท่านจึงยอมทำตาม และบอกว่า ในฐานะประชาชน หลวงปู่จึงไม่กล้าขัดพระราชประสงค์ได้

หลวงปู่แหวน กับ ความศรัทธาของประชาชน***
ความ ศรัทธาของประชาชนหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านเป็นตัวอย่างสมณะที่เจริญตามรอยแห่งเบื้องพระยุคลบาท ขององค์พระศาสดาอย่างมุ่งมั่น มอบชีวิตถวายจิตใจเพื่อรับใช้พระสัทธธรรม ท่านบำเพ็ญเพียร ทางวิปัสสนากรรมฐาน อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เพื่อความหลุดพ้นจากโลกียภูมิ เข้าสู่โลกุตรภูมิ เป็นแดนพ้นทุกข์อย่างแท้จริงหลวงปู่แหวน ท่านสละสิ้นทุกอย่าง มุ่งบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเดียว ท่านหลีกเร้นตนเองออกสู่ ทางสันโดษตลอดระยะยาวนานกว่า ๕๐ ปี ต้องฝ่าฟันอุปสรรคและความทารุณนานาประการ ไม่ว่าความทุรกันดาร โรคภัยไข้เจ็บ และความอดอยากหิวโหย แม้ร่างกายจะหนีจากธรรมชาติ เหล่านี้ไม่พ้น แต่จิตท่านไม่ติดอยู่ในสภาพทุกข์เหล่านั้น ท่านละวางทุกอย่าง ได้อย่างแท้จริง ดีก็ ไม่ติด ไม่ดีก็ไม่ติดหลวงปู่ขณะดำรงชีวิตอยู่ ท่านอยู่ด้วยความเมตตา เพื่อการสงเคราะห์สัตว์โลกอย่างแท้จริง ใครจะเอาประโยชน์อะไรจากท่านได้ ท่านไม่เคยขัดข้อง ตราบใดที่ไม่ผิดวินัยท่านอนุโลมตาม เสมอด้วยเหตุนี้ สาธุชนที่ศรัทธาในหลวงปู่ จึงได้หลั่งไหลไปที่วัดดอยแม่ปั๋ง จุดประสงค์อย่างอื่นที่ นอกเหนือจากการได้กราบได้เห็น ได้ทำบุญกับองค์ท่านแล้ว ส่วนใหญ่ต้องการให้หลวงปู่เป่าหัวให้บ้าง ต้องการได้น้ำมนต์บ้าง ต้องการได้ของดีเพื่อความมีโชคลาภ ความเป็นศิริมงคล รวมทั้ง ต้องการให้หลวงปู่แผ่พลังจิตเพื่อปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ เพื่อความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็อนุโลมทำให้ด้วยความเมตตา ใครจะรับอะไร ได้เพียงไร ขึ้นอยู่กับผู้นั้นเองสิ่งของที่มีผู้ขอกันมาก ได้แก่ ก้นยาขี้โย จีวร ไม้เท้า แม้แต่เส้นเกศา เล็บ ตลอดจนขี้ไคลในตัวท่าน และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวท่าน ก็ถือเป็นศิริมงคลทั้งนั้นหลวงปู่ท่านถึงกับออกปากว่า “ฮาโกนหัวแล้ว เปิ้นก็ยังฮื้อโกน แถมจะเอาฮาไปสร้างพระ อาหยัง ฮาเจ็บหัว"หลวงปู่ท่านพูดสำเนียงเหนือปนอิสาน หมายความว่า เราโกนหัวแล้ว เขาก็ยังมาให้โกนอีก บอกว่าจะเอาไปสร้างพระ อะไรนั่น เราเจ็บหัวแม้แต่น้ำที่ท่านอาบ ก็มีผู้ต้องการขอไปเพื่อเป็นศิริมงคล แม้ท่านสรงน้ำเสร็จแล้ว ยังมาขอให้ท่านสรงซ้ำอีก ท่านถึงกับพูดว่า “ฮาหนาวจะต๋าย เปิ้นก็จะฮื้อฮาอาบน้ำอีก"นอกจากนี้ยังมีคนไปรุมขัดถูขี้ไคลตามเนื้อตามตัว ท่าน ขัดแล้วขัดอีก หรือตัดเล็บท่าน ตัดแล้วตัดเล่า เพื่อจะเอาไปทำพระเครื่อง ทำวัตถุมงคลต่างๆ จนหลวงปู่บอกว่า ท่านแสบไปทั้ง เนื้อทั้งตัว ดังนี้เป็นต้นเอาเป็นว่าใครมีโอกาสหยิบฉวยแย่งอะไรจากท่าน เอาประโยชน์อะไรได้จากท่าน ต่างก็เอา กันไป หลวงปู่ท่านปล่อยวางเฉย ใครจะทำอะไรก็ตามใจ(สงสารหลวงปู่นะครับ)ขอบคุณ


รูปปั้นขี้ผึ้ง หลวงปู่แหวน ***
รูปปั้นขี้ผึ้งของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นแรกของวงการพระสงฆ์ไทย
สืบเนื่องมาจาก นายแพทย์เฉลิม จันทราสุข นายแพทย์นักธุรกิจชื่อดัง ได้ล้มป่วย อาการหนัก มาก
วันหนึ่ง ขณะที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล ได้เคลิ้มหลับฝันเห็นหลวงปู่แหวน มายืนข้างเตียง แล้วบอกว่าตนจะหาย ไม่ตายหรอก
เมื่อ ดีขึ้น น.พ.เฉลิม ก็ตังจิตอธิษฐานว่า หากเป็นจริงดังที่ฝัน ก็จะสนองในพระเดชพระคุณ แห่งความเมตตาของหลวงปู่แหวน โดยจะทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วจะนำสิ่งนั้นถวายหลวงปู่
แล้ว น.พ.เฉลิม ก็หายป่วยไข้จริงๆ จึงได้ว่าจ้าง สถาบันมาดามทูโซด์ แห่งประเทศอังกฤษ ให้ปั้นรูปหุ่นขี้ผึ้ง ขนาดเท่าองค์จริงของหลวงปู่ ในราคา ๑ ล้านบาท
ทาง สถาบันฯ นี้ ไม่เคยปั้นรูปพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามาก่อน เพราะฉะนั้น การปั้นรูป หลวงปู่แหวน จึงเป็นครั้งแรก และองค์แรกของโลกเลยทีเดียว
เดือน ธันวาคม ๒๕๒๑ ทางสถาบันฯ ได้ส่ง มิสจีน ปาเซอร์ ปฎิมากรมาดูองค์จริง และถ่ายรูปหลวงปู่ ๑๐๐ ภาพ แล้วจึงไปเริ่มปั้น ใช้เวลาร่วม ๑ ปี
เดือน สิงหาคม ๒๕๒๒ ทางสถาบันฯ ได้จัดส่งหุ่นหลวงปู่มาทางเครื่องบิน ได้นำไปให้ประชาชนสักการะที่วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพ ร่วมสิบวัน
ตอน เช้าวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๒ ได้อัญเชิญหุ่นหลวงปู่ไปเชียงใหม่ ทางเครื่องบินของการบินไทย จัดในรูปของคนโดยสาร โดยนั่งเก้าอี้โดยสารธรรมดา ถึงเชียงใหม่ ๙.๐๐ น.
กล่าว กันว่า ท้องฟ้าที่เชียงใหม่ ช่วงนั้นชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนติดต่อกัน มา ๓ วัน ๓ คืน ก็ปรากฏเหตุมหัศจรรย์ อย่างปาฏิหาริย์ทันทีที่เครื่องบินร่อนลงสู่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท้องฟ้าแจ่มใส ฝนหยุดตก ชาวเชียงใหม่ไปรอต้อนรับมากมาย
ได้อัญเชิญหุ่น หลวงปู่ขึ้นรถแห่ไปรอบๆ เมืองเชียงใหม่ แล้วนำไปประดิษฐานที่วัดดอยแม่ปั๋ง ในตอนบ่าย ได้มอบถวายหลวงปู่แหวนองค์จริง
หลวงปู่หัวเราะชอบใจว่า " เออ... มันก็เหมือนกันนั่นแหละ .."
หลวงปู่นั่งเคียงข้างรูปหุ่น ให้ประชาชนได้เปรียบเทียบแล้วก็นำไปประดิษฐานที่พลับพลาเรือนแก้ว ไว้เป็นที่สักการบูชาของศรัทธาสาธุชน
ปัจจุบันรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของหลวง ปู่ประดิษฐานอยู่ในห้องกระจก ภายในพิพิธภัณฑ์บริขารของหลวงปู่ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง
(จากหนังสือเรื่อง หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๓ เรียบเรียงโดย รศ.ดร.ปฐม -รศ.ภัทรา นิคมานนท์
มีนาคม ๒๕๔๘ )

6 ความคิดเห็น: