วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วัตถุมงคลที่ดังที่สุด ของ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่





























วัตถุมงคลที่ดังที่สุด ของ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่



คือ เหรียญ เราสู้ เนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่สงบกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้นทางด้านชายแดนประเทศไทย กับประเทศกัมพูชา ในปี ๒๕๒๐ มีทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เป็นจำนวนมากไปขอพึ่งอาศัยบารมีหลวงปู่ อยากได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากหลวงปู่ไว้คุ้มครองป้องกันตัวและเป็นสิริมงคล ทางวัดดอยแม่ปั๋งขาดปัจจัยทั้งพ้นวิสัยที่จะจัดให้ทั่วถึงได้ พระอาจารย์หนู สุจิตโต เจ้าอาวาสและนายกสมาคมสัมพันธวงศ์สมัยนั้น ร่วมกับวัดสัมพันธวงศ์ตกลงอนุญาตหลวงปู่สร้างเหรียญรูปเหมือนหลวงปู่ขึ้น จำนวนหนึ่งเพื่อแจกจ่ายแก่ทหาร ตำรวจ และพ่อค้าประชาชน โดยอ้างเหตุผลและความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศชาติบ้านเมือง หลวงปู่ไม่ขัดข้องยินดีอนุญาตให้ดำเนินการได้ คณะกรรมการได้มอบให้เป็นภาระของพระครูวิบูลศีลวงศ์ เป็นผู้ออกแบบจัดสร้างเหรียญ และให้พระครูปลัดเมธาวัฒน์ ควบคุมการจัดพิมพ์ มอบให้อาจารย์ปลั่ง ชื่นกลิ่นธูปเป็นเจ้าพิธีการเชิญพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผู้ศรัทธาในหลวงปู่แหวน เป็นประธานฝ่ายฆราวาสประกอบพิธีแผ่เมตตาเหรียญแบบเราสู้ กระทำพิธีแผ่เมตตาอธิฐานจิตที่วิหารวัดดอยแม่ปั๋ง วันศุกร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๐เมื่อได้เวลา ๒๐.๐๐ น. นิมนต์เจ้าพระคุณหลวงปู่แหวน มายังวิหาร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เป็นประทานจุดเทียนชัย พระสงฆ์ ๒๑ รูป เจริญพระพุทธมนต์ เวลา ๒๑.๔๐น. เจ้าหน้าที่พิธีสงฆ์ได้อาราธนาพระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ขึ้นนั่งบนธรรมมาสน์เพื่อประกอบพิธีแผ่พลังจิตอธิฐานภาวนา เป็นเวลา ๑๒ นาที ในขณะนั้นพระสงฆ์ทั้งปวงได้นั่งสมาธิภาวนาส่งกระแสจิตอธิฐานร่วมในการประกอบ พิธีครั้งนี้ด้วย เสร็จแล้ว หลวงปู่ออกจากสมาธินั่งปรกแล้ว ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่เหรียญ เราสู้ วัตถุมงคล มีนักข่าว หนังสือพิมพ์ที่เชิญไปร่วมพิธี ได้รับแจกไปทั้งเหรียญและรูปเหมือนหลวงปู่ ขณะนั้นกำลังมีการปะทะต่อสู้กัน ทางชายแดนด้านอรัญประเทศ ปราจีนบุรี นักข่าวและทหารที่ได้รับเหรียญเราสู้ไปเวลานั้น ได้ต่อสู้ผจญภัยในสนามรบอย่างโชกโชนตลอดคืน และปลอดภัยรอดตายมาได้ทุกคน เพราะมีเหรียญเราสู้ประจำตัวอยู่ทุกคน จึงทำให้เหรียญเราสู้โด่งดังไปทั่วทุกหนทุกแห่งมีประชาชนทุกเพศ ทุกวัย อยากได้ พากันหลั่งไหลมาขอที่วัดสัมพันธวงศ์บ้าง ที่วัดดอยแม่ปั๋งบ้าง จนเหรียญไม่พอแจกให้แก่ผู้ต้องการอยากได้ จำนวนเหรียญเราสู้ที่สร้าง เนื้อโลหะรมดำ ๒๐๐,๐๐๐ เหรียญ เนื้อทองคำ ๑๐๑ เหรียญ เนื้อเงิน ๑๙๐ เหรียญ วัตถุประสงค์ในการสร้างเหรียญ เราสู้ ๑.เพื่อแจกจ่ายแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ พลเรือน และที่ปฎิบัติหน้าที่ตามชายแดนทุกแห่ง ๒.เพื่อให้คนในชาติไทย ได้สมัครสมานสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ๓.เพื่อเป็นวัตถุที่ระลึกไว้สักการบูชายึดเหนี่ยวน้ำใจคนในชาติ ให้คงความเป็นเอกราช รักษาชาติไทยไว้ ๔.เพื่อเป็นเครื่องดลจิตดลใจให้ผู้มีเหรียญนี้ ตื่นอยู่ทุกขณะ ให้สมกับคำว่า เราสู้ สู้ตรงนี้ สู้ที่นี่ ทุกข้อความอ้างอิงจาก หนังสือ สุจิณโณ อนุสรณ์ จัดทำโดย มูลนิธิ สุจิณโณ อนุสรณ์ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๐

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พระ คุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระอริยสงฆ์ที่เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่ง จากพุทธศาสนิกชนทุกเทศทุกวัย ทั้งในและ ต่างประเทศ

แม้ หลวงปู่จะได้ลาขันธ์ไป ตั้งแต่คืนวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ แต่ความทรงจำในกระแส เมตตา ปฎิปทาสัมมาปฎิบัติ จริยาวัตรที่งดงาม พร้อมกับธัมโมวาทอันล้ำค่า ของหลวงปู่ ก็ยังส่อง สว่างอยุ่กลางใจของพวกเราชาวพุทธทุกผู้ทุกนาม

เมื่อ น้อมระลึกถึงหลวงปู่ที่ไร ความสุข สงบ ความโสมนัส ชื่นบาน ความสมหวัง โชคดี ความเป็นสิริมงคล จะดื่มด่ำอยู่ในจิตใจ อย่างไม่รู้อิ่มรู้คลาย

ผู้ ที่โชคดี มีโอกาสกราบไหว้ องค์หลวงปู่ ได้เคยฟังการปรารภธรรม แสดงธรรม จากหลวงปู่ ต่างก็ประจักษ์ความไพเราะ นุ่มนวลละมุนละไม ประดุจเสียงทิพย์ที่ไพบูลย์ด้วยธรรมะ อันเป็นสากลสัจจะ ยังความอิ่มเอิบ เบิกบาน และเป็นมงคลยิ่งแก่ชีวิต

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นผู้สืบเนื้อนาบุญอันไพศาล นับเป็นพระอริยสาวก ที่ควรแก่กราบ ไหว้บูชาอย่างแท้จริง

ท่าน เจ้าคุณ พระวิบูลธรรมาภรณ์ แห่งวัดสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพๆ ศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่ง ได้รจนาถึงปฎิทาของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ดังนี้ :-

" หลวงปู่แหวนท่านมีศีลที่สมบูรณ์ คือเป็นพระสงฆ์ที่มีความปกติครบถ้วนไม่เกินหรือขาด สภาพของท่านเปรียบเสมือนป่าใหญ่ที่มีต้นไม้ใหญ่เล็กนานาชนิด ทังยืนต้น และล้มลุก มี ดอก ใบ ผล สมบูรณ์ ตามสภาพของพันธ์นั้นๆ จะมีต่างอยู่ก็คือกลิ่นของดอกไม้ ในป่า หอมตามลม แต่กลิ่นศีลของหลวงปู่หวลตามลมและทวนลม และ ไม่นิยมกาลเวลา หอมอยู่เสมอ
หลวง ปู่มีจริยาวัตร คือความประพฤติที่เรียบร้อย งดงาม เต็มพร้อมด้วยสิกขา วินัย กฎระเบียบ การปฎิบัติของท่านเรียบง่าย ถูกต้องทั้งในสมาคมสาธารณะ และในที่รโหฐาน จะเป็นที่ชุมชนใหญ่ เล็ก ท่านทำตนเป็นกลางเสมอเหมือน ความประพฤติของท่าน เสมือนต้นไม้ใหญ่ ที่มีร่มเงามาก มีกิ่งก้านสาขาแผ่กว้างให้คนเดินทางได้อาศัยร่มเงาพัก นกกาอาศัยเกาะกิ่ง มีกาฝากก็ขึ้นแซม บ้างบางครั้งบางคราว
หลวงปู่ท่านมีปฎิทา คือทางดำเนินสายกลางพอเหมาะพองาม ไม่ชอบระคนด้วยกลุ่มชนมาก ชอบหลีกเร้นอยู่ในที่สงบ ชอบชีวิตธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร ชีวิตของท่านอยู่กับป่ามาโดยตลอด แม้ในวัยชรา หลวงปู่จะปรารภเสมอว่า ขณะนี้ป่าธรรมชาติจะหายไป แต่มีป่ามนุษย์เข้ามาเทนที่ โดยท่านให้คติว่า ต้นไม้ในป่าต่างต้นต่างเจริญเติบโต แสวงหาอาหารเลี้ยงต้น ใบ ดอก ผลของมัน เอง ไม่แก่งแย่งเบียดเบียนกัน แต่มนุษย์ก็มีทางดำเนินเลี้ยงชีวิตตรงกันข้ามกับต้นไม้ในป่า
หลวง ปู่ท่านมีเมตตาธรรมเป็นเลิศ มีสมาธิดี มีพลังจิตสูงเปี่ยมด้วยเมตตา ถ้าได้สนทนาธรรม กับท่าน สิ่งที่เป็นคำสอนอันสำคัญสำหรับชาวเราทั่วไป ก็คือ ท่านจะสอนให้หัดแผ่เมตตา ความปราถนาดี แก่คน สัตว์ ศัตรูหมู่มาร จะสอนให้แผ่ให้ทั่วจักรวาล ยิ่งแผ่มากจะทำให้จิตใจ สบาย รักชีวิต ทรัพทย์สินของคนอื่นเหมือนกับของตนเอง หลวงปู่ท่านสอนให้แผ่ความปราถนาดี ความสุขแก่ชนทุกชั้นทุกระดับ ใครจะได้รับมากน้อยสุดแต่วาสนาบารมีของผู้นั้น
สรุป ได้ว่า หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วย ศีล จริยวัตร ปฎิปทา คุณธรรม แผ่ขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งตามลมและทวนลม เกียรติคุณ บริสุทธิคุณ ปรากฎในชุมชน ทั่วไป
คุณแห่งศีล และเมตตาของท่าน เป็นเสมือนมนต์ขลัง ก่อให้เกิดศรัทธาปสาทะ มีคนจำนวน มากเดินทางไปกราบขอศีลขอพร ขอบารมีธรรม และบางรายขอทุกอย่างที่ตนมีทุกข์ เพื่อจะให้ พ้นทุกข์
ทำให้เกิดศรัทธาสองทาง คือ คุณธรรม และวัตถุธรรม ผู้ใดต้องการธรรมะ ก็สดับตรับฟัง ศึกษาเอา ผู้ใดต้องการของขลัง รูปเหรียญวัตถุมงคลที่ระลึก ก็แสวงหาเอา ใครผู้ใดปราถนาหรือ ศรัทธาอย่างใดก็ปฎิบัติอย่างนั้น ซึ่งก็คงสำเร็จประโยชน์ไม่มากก็น้อย "

ในสมัย ที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ประชาชนจากใกล้ไกล ต่างแห่แหนไปกราบ หลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ ได้ปรารภถามว่า " พากันลำบากลำบนมากันทำไม"
คำตอบจากประชาชนเหล่านั้นก็คือ " ต้องการมากราบบารมีของหลวงปู่ "
หลวง ปู่ได้แนะนำว่า " บารมีต้องสร้างเอา เหมือนอยากให้มะม่วงของตนมีผลดก ก็ต้องหมั่น บำรุงรักษาเอา ไม่ใช่แห่ไปชื่นชมต้นมะม่วงของคนอื่น ต้องไปปลูก ไปบำรุงต้นมะม่วงของตนเอง การสร้างบารมีก็เช่นกัน ต้องสร้างต้อง ทำเอาเอง "


ยืน ยันว่า เป็นพระอรหันต์***
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่องราวตอนที่พาคณะศิษย์ไปกราบหลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋ง ซึ่งขณะนั้น หลวงปู่แหวน ท่านชราภาพ เกินวัย ๙๐ แล้ว และท่านกำลังเป็นไข้หวัดอยุ่

เรื่องราวมีดังนี้

" หลวงปู่เป็นไข้หวัด ไขัมันกินตัว หรือกินใจ ? "

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กราบนมัสการถามเบาๆ ขนาดคนห่างออกไปสองเมตรไม่มีทางได้ยิน

แต่หลวง ปู่แหวน ได้ยินชัดเจน ทั้งๆที่คนทั้งหลายยืนยันว่า หลวงปู่แหวนหูตึง ประสาทหู ดับมานานแล้ว แต่ใจของท่านไม่ดับ จึงได้ยินด้วยใจ
" กินแต่ตัว มันเป็นกรรม " หลวงปุ่แหวน ตอบเบาๆ เช่นกัน พอได้ยินสองคนเท่านั้น

" หลวงปู่ทำกำไว้มาก หรือครับ ? " หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ถามเป็นนัย

" กำไว้นิดหน่อย " หลวงปู่แหวนตอบเป็นนัยเช่นเดียวกัน ซึ่งมีความหมายว่า หลวงปู่แหวน มีเศษกรรมเหลืออยู่เล็กน้อย

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เปิดเผยกับสานุศิษย์ ทั้งหลายในภายหลังว่า หลวงปู่แหวน มุ่งเอาพุทธภูมิ คืออธิษฐานจิตปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

แต่เมื่อครั้นหลวงปู่ ตื้อ นิพพานไปได้ ๑๔ วัน พระวิญญาณหลวงปู่ตื้อ ก็มาเยี่ยมแล้วว่า " หลวงปู่แหวนจะไปพุทธภูมิ ทำไม ให้เสียเวลา ไปนิพพานเถอะน่า "หลวงปู่แหวน ก็เลยลาพุทธภูมิ และสำเร็จกิจพระศาสนา แล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังรอแต่จะถึงวาระทิ้งสังขาร จากโลกเข้าสู่ พระนิพพานเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น